เมื่อต้นเดือนกรกฎาคม 2020 บริษัทนาฬิกา TAG Heuer สัญชาติสวิสที่ครองความนิยมเป็นอันดับต้นๆ ของโลกนาฬิกา และมีประวัติมายาวนานถึง 160 ปี ได้อ้าแขนต้อนรับ CEO คนใหม่อย่างเป็นทางการ เป็นหนุ่มน้อยวัย 25 ปี และเป็นลูกชายของหุ้นส่วนใหญ่ในอาณาจักรสินค้าหรูค่าย LVMH
╔════════════════╗
กดรับข่าวสารก่อนใครที่นี่
LINE : @crazydial
https://lin.ee/wKkm5PM
╚════════════════╝
เฟรเดริก อาร์โนลต์ เรียนจบมาทางด้านคณิตศาสตร์และสารสนเทศจากมหาวิทยาลัยโพลีเทคนิคในกรุงปารีส มีความรู้ด้านภาษา เขาสามารถพูดได้ถึง 4 ภาษา อย่างคล่องแคล่วคือฝรั่งเศสภาษาแม่ และภาษาอังกฤษ ส่วนภาษาเยอรมันและอิตาเลียนนั้นพอกล้อมแกล้ม หลังจากเรียนจบเขาเริ่มทำงานกับ Facebook และบริษัท McKinsey & Company แต่ในระหว่างที่ยังเรียนอยู่นั้น เขาเคยเข้าไปฝึกงานอยู่ที่ TAG Heuer เป็นระยะ
เขาคุ้นเคยกับนาฬิกาแบรนด์นี้มาตั้งแต่วัยเด็ก เมื่อตอนอายุ 11 ขวบเขาเคยได้รับของขวัญวันเกิดเป็นนาฬิกาข้อมือเรือนแรก และนั่นคือ TAG Heuer ‘Aquaracer’ ที่เขาเทใจให้กับมันนับแต่นั้น
เฟรเดริกหลงใหลในวิชาคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และคอมพิวเตอร์ ช่วงเป็นนักศึกษาปีสุดท้ายเขาทุ่มเทให้กับการประยุกต์ใช้ในด้านต่างๆ เช่น อัลกอรึทึม และปัญญาประดิษฐ์ จากภูมิหลังนี้ทำให้เห็นชัดว่าทำไมเขาจึงเลือกมาฝึกงานที่ TAG Heuer โดยเฉพาะกับนาฬิกาอัจฉริยะ
เขาเริ่มงานในตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายเชื่อมต่อเทคโนโลยีเมื่อปี 2017 ปีถัดมาก็ได้เลื่อนขั้นขึ้นเป็นหัวหน้าฝ่ายดิจิทัล คุมทีมวิศวกรซอฟต์แวร์และดีไซเนอร์ปฏิสัมพันธ์ราว 30 คน เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา TAG Heuer เปิดตัวนาฬิกา ‘Connected’ ผลงานสมาร์ทวอตช์ ที่เขามีส่วนร่วมมาตั้งแต่เริ่มต้นการพัฒนา
เรื่องราวเกี่ยวกับแบรนด์นั้น เขารับรู้อย่างขึ้นใจมาโดยตลอด เพราะแบร์นารฺด์ อาร์โนลต์-พ่อของเขาผู้ถือหุ้นใหญ่ของค่าย LVMH มักให้เขามีส่วนร่วมในธุรกิจของครอบครัวมาตั้งแต่วัยเด็ก เฟรเดริกเคยเข้าร่วมในการประชุมบริษัท เคยเดินทางติดตามพ่อของเขาไปหลายครั้งหลายแห่ง และได้เรียนรู้ทุกสิ่งอย่างเกี่ยวกับแวดวงสินค้าหรู ที่เฉพาะในค่าย LVMH ก็มีธุรกิจอยู่ถึง 75 แบรนด์ จึงเป็นเรื่องปกติสำหรับเขาที่ในวันนี้เขามีโอกาสได้เข้ามาทำงานในธุรกิจของครอบครัว และเจาะจงเลือกที่จะดูแลบริษัท TAG Heuer ที่เขามีใจรักในแบรนด์
แต่ถ้าใครจะติฉินว่าเขาอายุน้อยเกินไปที่จะนั่งตำแหน่งบริหาร เขาก็พร้อมจะชี้แจงด้วยประวัติศาสตร์ของแบรนด์ได้ว่า ตอนที่ Edouard Heuer เจ้าของแบรนด์ก่อตั้งโรงงานนาฬิกาในปี 1860 นั้น เจ้าตัวเพิ่งอายุ 20 ปีเท่านั้น ต่อมาเมื่อสมาชิกครอบครัวฮอยเออร์เข้ามารับช่วงกิจการต่อ พวกเขาแต่ละคนก็มีอายุระหว่าง 20-27 ปีทั้งนั้น การที่เขาเป็นผู้บริหารรุ่นหนุ่มอีกคนหนึ่งของแบรนด์จึงไม่น่าจะผิดแผกแต่อย่างใด
การเข้ารับตำแหน่งบริหารเขามีเป้าหมายชัดเจนว่าจะนำพาแบรนด์ไต่ขึ้นอันดับ 4 ของวงการนาฬิกาสวิส ทุกวันนี้ TAG Heuer มียอดขายอยู่ที่ 857 ล้านฟรังก์สวิส หรือราว 2.8 หมื่นล้านบาท และอยู่ในอันดับที่ 9 ของวงการ
TAG Heuer Connected
ในงานบาเซลเวิลด์ปี 2015 TAG Heuer แถลงการณ์ถึงการทำงานร่วมกันกับ Google และ Intel ในการพัฒนาสมาร์ทวอตช์อย่างเป็นทางการ จนถึงเดือนพฤศจิกายนในปีเดียวกัน สมาร์ทวอตช์ TAG Heuer Carrera Calibre 5 Special Edition 46mm ตัวจริงก็เปิดตัวสู่สาธารณะ และเปิดขายในราคา 1,500 ดอลลาร์ หรือราว 45,000 บาท ทุกวันนี้นาฬิการุ่นนั้นหยุดผลิตไปแล้ว แต่ยังสืบต่อด้วยรุ่น TAG Heuer Connected Modular ขนาด 41 และ 45 มิลลิเมตร
เมื่อต้นปี 2020 TAG Heuer ได้ฤกษ์เปิดตัวนาฬิกา Connected เจเนอเรชันที่ 3 สู่ตลาดสมาร์ทวอตช์อีกครั้ง รุ่นใหม่นี้มีการเพิ่มเติมคุณสมบัติการใช้งานสำหรับกีฬาและการออกกำลังกายมากขึ้น ส่วนของตัวเรือน 45mm มีความหนา 13.5 มิลลิเมตร ยังคงรูปลักษณ์ของนาฬิกาตระกูล Carrera ไว้อย่างเดิม ขอบตัวเรือนมีให้เลือกทั้งแบบเซรามิกสีดำตามสไตล์นาฬิกาสปอร์ต และขอบสเตนเลสสตีล แม้จะเป็นสมาร์ทวอตช์ แต่ฟังก์ชันสั่งการต่างๆ บนตัวเรือนยังออกแบบให้เหมือนปุ่มกดของนาฬิกาแบบดั้งเดิม ทั้งวัสดุ ตำแหน่ง และลักษณะของปุ่มกดและเม็ดมะยม
หน้าจอระบบสัมผัสทรงกลมของรุ่นนี้มีขนาด 1.39 นิ้ว เป็นจอ OLED ความละเอียดที่ 454 x 454 พิกเซล สามารถแสดงค่าต่างๆ ได้อย่างคมชัด และยังเป็นหน้าจอที่แสดงค่าอยู่ตลอดเวลาโดยมีโปรแกรมติดตั้งมาพร้อมกับนาฬิกาถึง 5 รูปแบบ คือหน้าปัด 3 เข็มที่มีลักษณะคล้ายนาฬิกากลไก Skeleton รุ่น Carrera Heuer 02 รูปแบบหน้าปัด 3 เข็มที่มีลักษณะคล้ายนาฬิกา Carrera Heuer 01 รูปแบบหน้าจอ LCD และรูปแบบกราฟิกอีกสองแบบ โดยแต่ละแบบยังสามารถปรับแต่งสีสันและเลือกชนิดฟังก์ชันที่ต้องการให้แสดงบนหน้าจอได้ รวมทั้งสามารถดาวน์โหลดรูปแบบหน้าปัดเพิ่มเติมได้ด้วย
ภายในบรรจุด้วยแบตเตอรีขนาดความจุ 430 มิลลิแอมป์ สามารถจ่ายพลังงานได้นานถึง 20 ชั่วโมง ระบบปฏิบัติการเป็น Wear OS ของ Google ซึ่งทำให้การใช้งานฟังก์ชันต่างๆ ของ Google ได้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น Google Assistant, Google Translate, ระบบการแจ้งเตือนอีเมลและข้อความต่างๆ ระบบเล่นไฟล์มีเดีย แสดงแผนที่ แสดงสภาพอากาศ ระบบชำระเงิน Google Pay และแอพลิเคชันต่างๆ นอกจากนั้นตัวนาฬิกาเองยังติดตั้งแอพฯ นาฬิกาจับเวลา ไทเมอร์จับเวลาย้อนหลัง และตั้งปลุกมาให้ด้วย
Connected เจนฯ ใหม่มีจุดเด่นที่เพิ่มเติมเข้ามาคือ การติดตั้ง GPS และเครื่องวัดต่างๆ เช่น เครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจด้วยเซ็นเซอร์ชนิดใช้แสง เข็มทิศดิจิทัล เครื่องวัดความเร่ง และเครื่องวัดการหมุน เพื่อใช้งานร่วมกับการออกกำลังกายและเล่นกีฬา ทั้งยังเพิ่มความสามารถในการจับเวลาให้ละเอียดถึงระดับ 1/1,000 วินาทีผ่านการเชื่อมสัญญาณบลูทูธหรือ Wifi ไปยังแอพฯ บนสมาร์ทโฟน พร้อมความสามารถในการกันน้ำได้ถึงระดับ 50 เมตร และปกป้องจอแสดงผลด้วยกระจกหน้าปัดแซฟไฟร์คริสตัลที่มีความแข็งแกร่งและทนต่อรอยขีดข่วนได้ดี
TAG Heuer Connected เจนฯ ใหม่เปิดตัวที่ราคา 1,800 ดอลลาร์ หรือราว 54,000 บาท สำหรับเวอร์ชันตัวเรือนสเตนลีสสตีลคู่กับสายยางสีดำ และเพิ่มเงินอีกราว 4,500 บาทหากเลือกสายสเตนเลสสตีล ส่วนเวอร์ชันตัวเรือนไทเทเนียมเคลือบดำคู่กับสายยางสีดำ ราคาอยู่ที่ 2,350 ดอลลาร์ หรือราว 70,500 บาท
Crazy Dial มีเป้าหมายที่จะเป็น Creative StoryTelling สื่อเน้นการเล่าเรื่องเชิงสร้างสรรค์ ที่สามารถสร้างสังคมการเรียนรู้ แลกเปลี่ยนเกี่ยวกับข้อมูลนาฬิกา สร้างแรงบรรดาลใจให้กับคนที่ชื่นชอบนาฬิกามือใหม่ รวมถึงนักสะสมนาฬิกามือเก่า ขอบคุณที่มาเป็นส่วนนึง และร่วมแบ่งบันประสบการณ์ไปพร้อมๆกัน กับ Crazy Dial