ถึงทริปทะเลจะโดนเทในซัมเมอร์นี้ก็ตาม แต่นาฬิกาสาย Dive ไม่ต้องไปทะเลก็ใส่โชว์เท่ๆ ได้ในทุกโลเคชัน จึงเหมาะมากกับการมีเก็บไว้เป็นหนึ่งในคอลเล็กชัน และสำหรับฤดูร้อนปีหน้า Crazy Dial ขอแนะนำ 5 เรือนเวลา จัดให้คุณสวมใส่พาสาวๆ เที่ยวสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบก หรือให้คุณใส่ลงดำน้ำขณะที่สาวๆ ของคุณสวมบิกินี่จิบแชมเปญอยู่บนเรือยอชต์ ได้แบบสุดคูล ดูโคตรดีเลยทีเดียว
╔════════════════╗
กดรับข่าวสารก่อนใครที่นี่
LINE : @crazydial
https://lin.ee/wKkm5PM
╚════════════════╝
1. OMEGA Seamaster 300 Master Co-axial
หากถามถึงจุดกำเนิดของนาฬิการุ่นนี้ ต้องย้อนกลับไปเมื่อปี 1957 ที่ Omega ออกแบบ Seamaster ขึ้นสำหรับนักดำน้ำและมืออาชีพเกี่ยวกับงานใต้น้ำโดยเฉพาะ มันจึงสามารถทนทานแรงดันใต้น้ำลึกกว่า 300 เมตร ใช้ระบบเม็ดมะยมแบบหมุนเกลียว ขอบตัวเรือนหมุนทิศทางเดียวสำหรับคำนวณ ไฟส่องสว่างทุกองค์ประกอบ ความต้านทานสนามแม่เหล็ก ตัวเรือนผลิตจากไทเทเนียมเบาทนทาน และแน่นอนที่สุดเทคโนโลยี Co-axial ที่หมายถึงความทนทานของระบบกลไกภายใน ความเสถียร และระบบเคลื่อนไหวอัตโนมัติตามแรงเหวี่ยงข้อมือ แถมพลังงานสำรองให้อีก 60 ชั่วโมง
เหตุผลที่ต้องจัด : ดีไซน์คลาสสิก และเจมส์ บอนด์ยังชอบ
2. ROLEX Deepsea D-Blue Dial
ตัวพ่อแห่งวงการดำน้ำลึก สามารถดำดิ่งสู่มหาสมุทรในระดับความลึกถึง 3,900 เมตร หรือ 12,800 ฟุต หน้าปัดสตีลขนาดกว้าง 44 มิลลิเมตร และฟังก์ชันแบบนักดำน้ำมือโปรฯ ด้วยวาล์วปล่อยก๊าซฮีเลียมขณะทะยานขึ้นสู่ผิวน้ำ สำหรับใช้ป้องกันตัวเรือนระเบิดจากแรงดันอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และหน้าปัด D-Blue พิเศษแบบ 2 เฉดสี ไล่เลียงจากฟ้าครามน้ำทะเลแพรวพรายไปถึงสีดำสนิท สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติให้กับ James Cameron ที่ดำน้ำลึกครั้งประวัติศาสตร์ตามลำพัง สู่แนวร่องลึกก้นสมุทรลึกที่สุดในโลกที่ชื่อ ‘มาเรียนา เทรนช์’ (Mariana Trench)
เหตุผลที่ต้องจัด : ความเป็น Rolex และความสามารถของการดำน้ำ
3. TUDOR Black Bay Heritage
ใครที่กำลังเริ่มสะสมนาฬิการะดับพรีเมียม อยากให้นึกถึงรุ่นนี้ไว้เป็นหนึ่งในลิสต์ด้วย มันอาจจะไม่เพอร์เฟกต์ที่สุดแต่ก็เข้าท่าทีเดียว หากเทียบกับราคาและประวัติศาสตร์ของแบรนด์ ต่อการแชร์เทคโนโลยีร่วมกับ Rolex ในฐานะบริษัทแม่ แน่นอนว่ามันจึงเป็นนาฬิกาที่น่าดึงดูดและสามารถสวมใส่ได้ทุกวันเช่นกัน ในส่วนฟังก์ชัน สาย Dive สามารถลงน้ำลึกได้ 200 เมตร ใช้ระบบเม็ดมะยมแบบหมุนเกลียว ขอบตัวเรือนหมุนทิศทางเดียวสำหรับคำนวณ และพลังงานสำรอง 30 ชั่วโมง
เหตุผลที่ต้องจัด : มีความเรโทร และมีหลากหลายตระกูลให้เลือก
4. AUDEMARS PIGUET Royal Oak Offshore Diver Chronograph
ใช่เลยละ เจ้านี่ไม่ได้มีขอบตัวเรือนหมุนทิศทางเดียวสำหรับคำนวณเหมือนฟังก์ชันสาย Dive รุ่นอื่นๆ แต่เรายกเว้นเอาไว้ เพราะมันอยู่ในตัวเรือนต่างหาก มาพร้อมกับฟังก์ชันสาย Dive ที่ไม่น้อยหน้ารุ่นไหนๆ ไม่ว่าจะเป็นความสามารถทนทานแรงดันน้ำลึกถึง 300 เมตร พลังงานสำรอง 60 ชั่วโมง และระบบเคลื่อนไหวอัตโนมัติตามแรงเหวี่ยงข้อมือ เมื่อผสานเข้ากับประวัติศาสตร์เรื่องความแข็งแรงทนทานเคียงคู่ความหรูหราแห่งการสรรสร้าง นี่จึงเป็นยอดปรารถนาอีกหนึ่งเรือน ที่ใครๆ ก็ฝันอยากมีไว้ครอบครอง
เหตุผลที่ต้องจัด : การออกแบบที่แข็งแกร่ง ขอบตัวเรือนด้านใน เคียงข้างตำนานของแบรนด์
5. ULYSSE NARDIN Diver 42 mm
ถือเป็นรูปแบบใหม่สาย Dive ของบ้าน Ulysse Nardin หลังจากปรับโฉมต่อยอดจากการเปิดตัว Diver Chronometer รูปแบบ Three Hand (ระบบการเคลื่อนไหวสามแบบ คือ ไขลาน ออโตเมติก และควอตซ์) ปรับหน้าปัดใหญ่เทอะทะขนาด 44 มิลลิเมตร มาเป็นแบบฉบับกะทัดรัด 42 มิลลิเมตร ดีไซน์หน้าปัดกระจกแซฟไฟร์ทรงโดม เล่นสีเบจเรโทรเพิ่มความหรูหรา บันทึกข้อความตัวเลข ลองจิจูดและละติจูดของเมือง Le Locle ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์บ้านเกิดของแบรนด์ อีกทั้งมาพร้อมขอบตัวเรือนสำหรับคำนวณทรงเว้า ความสามารถทนทานแรงดันน้ำลึก 300 เมตร และพลังงานสำรอง 60 ชั่วโมง
เหตุผลที่ต้องจัด : เกียรติประวัติของแบรนด์ ขนาดกะทัดรัด และดีไซน์มีระดับ
Crazy Dial มีเป้าหมายที่จะเป็น Creative StoryTelling สื่อเน้นการเล่าเรื่องเชิงสร้างสรรค์ ที่สามารถสร้างสังคมการเรียนรู้ แลกเปลี่ยนเกี่ยวกับข้อมูลนาฬิกา สร้างแรงบรรดาลใจให้กับคนที่ชื่นชอบนาฬิกามือใหม่ รวมถึงนักสะสมนาฬิกามือเก่า ขอบคุณที่มาเป็นส่วนนึง และร่วมแบ่งบันประสบการณ์ไปพร้อมๆกัน กับ Crazy Dial