Maurice Lacroix ฉลองครบรอบ 50 ปีด้วยบรรยากาศที่เปี่ยมด้วยพลังและความอบอุ่น โดยครั้งนี้พิเศษยิ่งกว่าเดิม—เพราะ Mr. Stéphane Waser, Managing Director ของแบรนด์ บินตรงจากสวิตเซอร์แลนด์เพื่อมาร่วมงานด้วยตัวเอง พร้อมเล่าถึงรากฐาน ความเชื่อ และวิวัฒนาการที่พา Maurice Lacroix มาถึงจุดสำคัญในวันนี้ งานนี้ยังได้คุณ ลิซ่า อลิซาเบธ แซดเลอร์ มารับหน้าที่พิธีกร เติมบรรยากาศให้สนุก เข้าถึงง่าย แต่ยังคงความสง่างามในแบบที่แบรนด์ตั้งใจ
50 ปีที่เดินทางมา—และการพลิกหน้าประวัติศาสตร์บทใหม่
เส้นทางของ Maurice Lacroix เริ่มต้นในปี 1975 ก่อนจะสร้างหมุดหมายสำคัญในยุค 90 ด้วยรุ่น Calypso (1990)—ดีไซน์ที่หลายคนยังยกให้เป็น “รากเหง้า” ของ Aikon ซึ่งกลายเป็นรุ่นยอดนิยมจนถึงปัจจุบัน
หลังจากนั้นคือ Masterpiece 5 Hands (1992) หนึ่งในรุ่นที่เปิดวิสัยทัศน์ด้านงานคราฟต์และความซับซ้อนให้แบรนด์โดดเด่นขึ้นในวงการ
กระทั่งปี 2016 การกลับมาของ Aikon ถือเป็นการ “rebirth” ที่ทำให้แบรนด์กลับมาถูกจับตามองอีกครั้งในตลาดโลก
และปี 2025 คือก้าวใหม่ที่น่าตื่นเต้น กับคอลเลกชัน AIKON-IC – ชื่อที่มาจาก “Innovative Craftsmanship” ถ่ายทอดแนวทางงานออกแบบยุคใหม่ของแบรนด์อย่างชัดเจนผ่านการเลือกใช้วัสดุที่ท้าทายกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็น ขอบเซรามิก, ตัวเรือนไทเทเนียม, หน้าปัดคาร์บอน และงานตกแต่งที่ผสมความดั้งเดิมกับเทคนิคใหม่ อาทิเช่น
AIKONIC Automatic Chronograph Skeleton 43mm – โชว์กลไกแบบเปิดโล่งในสไตล์เทคนิคัล
AIKONIC Master Triple Retrograde – รวม 3 ฟังก์ชัน retrograde ไว้อย่างสวยงามและอ่านค่าชัดเจน (GMT 24 ชม., วัน, วันที่)
AUTOMATIC 43MM สามเข็มที่สวยงามสมความเป็น AIKONIC
เบื้องหลังวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร — เมื่อ Aikon กลายเป็นดีเอ็นเอ
ในช่วงพูดคุยแบบกลุ่มเล็ก Mr. Stéphane แชร์มุมมองที่น่าสนใจหลายประเด็น ซึ่งทำให้เห็นภาพอนาคตของแบรนด์ได้ชัดเจนขึ้น:
Aikon จะไม่ถูกเปลี่ยน—แต่จะถูกยกระดับ
Mr. Stéphane เล่าว่า Aikon เป็นรุ่นที่แข็งแรงที่สุดของแบรนด์ทั้งในแง่ยอดขายและการรับรู้ของตลาด ดังนั้น Maurice Lacroix ไม่ต้องการ “เปลี่ยนสิ่งที่ดีอยู่แล้ว” แต่ต้องการ เพิ่มมิติใหม่ให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ ผลลัพธ์คือคอลเลกชัน AIKONIC

IC = Innovative Craftsmanship คือคำที่นิยามตัวตนยุคใหม่
เป็นการบอกชัดว่าต่อจากนี้เราจะเห็นงานวัสดุ เทคนิค และโครงสร้างใหม่ ๆ มากขึ้น—โดยยังคงแต่งแต้มกลิ่นอายของ Aikon ที่แฟน ๆ คุ้นเคยไว้เหมือนเดิม
Collaboration คือพื้นที่ให้ศิลปินมีตัวตนจริง ๆ
Maurice Lacroix เชื่อในการให้อิสระเต็มที่กับศิลปินและครีเอเตอร์ที่มาร่วมงาน จึงไม่ใช่แค่การใส่โลโก้ แต่เป็นการสร้างชิ้นงานที่สะท้อนตัวตนของทั้งสองฝ่ายอย่างจริงจัง
Sustainability สิ่งที่พวกเขา ไม่เคยมองข้าม
หลังจากคอลเลกชัน Tide ประสบความสำเร็จจนกลายเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง ปีหน้าจะมีโปรเจกต์ด้านความยั่งยืนในรูปแบบใหม่ ๆ ที่ไม่จำกัดอยู่แค่แนวอัปไซเคิลวัสดุจากทะเล แต่จะขยายมุมมองให้หลากหลายขึ้น—ในแบบที่ยังคงอยู่บนฐานของดีไซน์และคุณภาพตามแบบฉบับของแบรนด์
ข้อความหนึ่งประโยคที่อยากบอกกับคนรุ่นใหม่
เมื่อถามว่าถ้าต้องสื่อถึงคนรุ่นใหม่ในประโยคเดียว เขาเลือกคำตอบที่กระชับแต่ทรงพลัง:
“Maurice Lacroix คือสุดยอดของ Accessible Luxury.”
นาฬิกาหรูที่เข้าถึงได้—ทั้งในแง่ราคา คุณภาพ และความตั้งใจเบื้องหลัง
ครบรอบ 50 ปีที่ไม่ได้หยุดอยู่กับอดีต แต่คือการประกาศอนาคต
งานฉลองครั้งนี้ไม่ใช่แค่การย้อนกลับไปดูความสำเร็จ แต่เป็นการเปิดบทใหม่ให้ชัดเจนว่า Maurice Lacroix กำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่ความ “ไอคอนิค” ไม่ได้อยู่ที่ดีไซน์เพียงอย่างเดียว แต่คือการกล้าพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง ผ่านวัสดุใหม่ การคราฟต์ที่วิจิตร และความตั้งใจสร้างนาฬิกาที่ “เข้าถึงได้อย่างแท้จริง”


Crazy Dial มีเป้าหมายที่จะเป็น Creative StoryTelling สื่อเน้นการเล่าเรื่องเชิงสร้างสรรค์ ที่สามารถสร้างสังคมการเรียนรู้ แลกเปลี่ยนเกี่ยวกับข้อมูลนาฬิกา สร้างแรงบรรดาลใจให้กับคนที่ชื่นชอบนาฬิกามือใหม่ รวมถึงนักสะสมนาฬิกามือเก่า ขอบคุณที่มาเป็นส่วนนึง และร่วมแบ่งบันประสบการณ์ไปพร้อมๆกัน กับ Crazy Dial


Line :
Instagram :
Facebook :
Website :
Youtube :
Tiktok :