“บอนด์, เจมส์ บอนด์” เป็นประโยคแนะนำตัวที่คุ้นหูของสายลับแดนผู้ดีมาดเท่ จากภาพยนตร์สายลับในตำนานอย่าง พยัคฆ์ร้าย 007 อันที่จริงคงจะไม่ต้องเสียเวลาแนะนำตัวกันแล้วละครับ เพราะกว่า 58 ปีกับ 24 ภาคที่ผ่านมา และภาค 25 ที่เพิ่งเลื่อนกำหนดฉายในปีนี้ เชื่อว่าทุกคนคงจะรู้จักสายลับหนุ่มคนนี้เป็นอย่างดีแล้ว
และเมื่อพูดถึงเจมส์ บอนด์ ทุกคนก็คงจะมีภาพจำคล้ายๆ กัน นั่นคือ สายลับหนุ่มมาดเท่ ที่มักจะมาพร้อมสูทเนี้ยบ บุคลิกเฉิดฉาย หน้าตาหล่อเหลา อีกทั้งยังมี Gadget ที่แพรวพราวด้วยเทคโนโลยีก้าวล้ำกว่าสายลับคนไหนๆ และหนึ่งในเครื่องมือสำคัญและเป็นที่จับตามองมาตลอดในแต่ละทุกภาคก็คือ นาฬิกา นั่นเอง
╔════════════════╗
กดรับข่าวสารก่อนใครที่นี่
LINE : @crazydial
https://lin.ee/wKkm5PM
╚════════════════╝
แน่นอนครับว่าต้องเป็น Omega แบรนด์ซึ่งมีความสัมพันธ์อันยาวนานกับบอนด์ถึง 25 ปี เพราะเป็น Official Sponsor ตั้งแต่ปี 1995 เป็นต้นมา ซึ่งถือว่าเป็นการเปิดตัวมาพร้อมๆ กับบอนด์คนที่ 5 อย่าง Pierce Brosnan เลยครับ และอย่างที่หลายคนพอจะทราบข่าวของ 007 ภาคใหม่ที่มีโปรแกรมฉายในปีนี้ พร้อมข่าวนาฬิกา Omega เรือนใหม่ และเรือนอำลาของบอนด์คนที่ 6 อย่าง Daniel Craig วันนี้ Crazy Dial จึงขอนำทุกท่านย้อนรอยประวัติ Omega นาฬิกาคู่กายของบอนด์กันเสียหน่อย มาดูกันว่าคาแรกเตอร์และบทบาทของ Omega กับ 2 หนุ่มบอนด์นั้นเป็นอย่างไร ถือเป็นการเตรียมตัวต้อนรับการกลับมาของภาพยนตร์อันเป็นที่รักกันนะครับ
Pierce Brosnan
หนุ่มบอนด์คนที่ 5 เปิดตัวมาในภาค ‘Golden Eye’ ปี 1995 ซึ่งการเปลี่ยนตัวบอนด์เป็นคนใหม่ครั้งนี้ ทางทีมงานได้มีการเลือกสรรออปชันต่างๆ ที่จะมาช่วยส่งเสริมความเป็นบอนด์ให้ชัดมากขึ้น หนึ่งในนั้นก็คือนาฬิกาคู่กายนั่นเอง งานนี้ Lindy Hemming คอสตูมดีไซเนอร์ประจำกองถ่าย อยากเน้นไปที่ความเป็นตัวตนจริงๆ ของบอนด์ ซึ่งเธอมองภาพบอนด์เป็นอดีตนาวิกโยธินที่สุภาพ เป็นคนดี พร้อมลุยเพื่อช่วยเหลือคน ลินดีเคยให้สัมภาษณ์ว่า เธอได้รับอิทธิพลมาจากเพื่อนของพ่อที่เป็นอดีตนาวิกโยธิน ซึ่งเขาสวมใส่นาฬิกา Omega และเขาทำให้เธอมองว่า Omega นี่แหละคือนาฬิกาของเจมส์ บอนด์ที่เธอวาดฝัน
Omega Seamaster 300M
คือรุ่นที่ได้รับเลือกให้เป็นเรือนเวลาคู่ใจของบอนด์ ซึ่งรับบทโดย Pierce Brosnan ทั้ง 4 ภาค จะต่างกันแค่เพียงที่ภาคแรกนั้นเป็นระบบควอตซ์ หลังจากนั้นก็ถูกเปลี่ยนกลไกเป็นออโตเมติกในภาคต่อๆ มา Omega Seamaster 300M นอกจากจะมีคุณสมบัติดำน้ำได้ลึกถึง 300 M แล้ว ยังมีดีไซน์ที่ส่งเสริมความเป็นอดีตนาวิกโยธิน ฮีโร่แห่งท้องทะเลได้อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยหน้าปัดและขอบสีน้ำเงินคราม ลวดลาย Signature Wave บนหน้าปัด ดั่งคลื่นทะเลที่ไม่เคยหลับใหล มาพร้อมกับสายสเตนเลสแข็งแกร่ง คงทน เสริมลุคสายลับนาวิกโยธินของบอนด์ได้อย่างไร้ที่ติ
บทบาทของเรือนเวลา
ในภาพยนตร์พยัคฆ์ร้าย 007 สมัยที่เป็น Pierce Brosnan นั้น นาฬิกายังคงเป็นหนึ่งในอุปกรณ์พิเศษที่ช่วยเขาทำภารกิจต่างๆ ตามแบบฉบับเจมส์ บอนด์ สายลับผู้รวยเทคโนโลยี โดยนาฬิกาของเขานั้นถูกปรับแต่งฟีเจอร์พิเศษแตกต่างออกไปในแต่ละภาค เช่น ยิงเลเซอร์ตัดแผ่นเหล็กใน ‘Golden Eye’ เป็นเครื่องมือจุดระเบิดระยะไกลใน ‘Tomorrow Never Dies’ (1997) แสงไฟฉายจากหน้าปัดและตะขอสลิงขนาดจิ๋วใน ‘The World Is Not Enough’ (1999) และเป็นทั้งชนวนระเบิดใน ‘Die Another Day’ (2002) อีกด้วย
Daniel Craig
สำหรับหนุ่มบอนด์คนที่ 6 คนปัจจุบันอย่าง Daniel Craig เปิดตัวกับภาค Casino Royale (2006) ซึ่งในภาคนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่การเปลี่ยนตัวบอนด์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงทีมงานและผู้กำกับฯ เรียกได้ว่าเปลี่ยนกันยกเซ็ต แถมเล่าเรื่องใหม่ตั้งแต่ตอนที่บอนด์ได้เป็นสายลับ 007 และเนื้อเรื่องแต่ละภาคก็จะเรียงต่อกันไม่สลับไปสลับมาอย่างที่เคย ซึ่ง Daniel Craig ในบทบอนด์นั้นไม่ได้รับเสียงตอบรับที่ดีเท่าไหร่จากแฟนๆ ในช่วงแรก เนื่องจากภาพลักษณ์ของเขาที่ไม่ได้สูง ยาว หล่อเหลา เป๊ะปังแบบบอนด์ในตำนานเท่าที่ควร แต่เมื่อภาพยนตร์ออกฉายเท่านั้นละครับ แฟนๆ ต่างก็หลงรักและยอมรับเขาในความเป็นบอนด์ทันที ซึ่งCraig ได้เสนอบอนด์ในมุมที่จริงจังขึ้น ดาร์กขึ้น ดิบขึ้น รูปแบบการต่อสู้ก็ถูกวางให้เป็น realistic มากขึ้น มีฉากต่อสู้แบบดิบๆ ไร้อาวุธให้เราเห็นมากขึ้น ซึ่งนั่นก็ทำให้บทบาทของอุปกรณ์เครื่องมือสายลับอย่างนาฬิกาลดน้อยลง แต่ยังคงมีให้เห็นบนข้อมือของบอนด์ตลอดทั้งเรื่องอยู่นะครับ ถือเป็นการนำเสนอรูปแบบที่เป็นโลกแห่งความจริงมากขึ้น โดยให้นาฬิกาเป็นเหมือน accessories เสริมไลฟ์สไตล์หนุ่มลุยๆ มากกว่า ซึ่งเราจะเห็นบอนด์สวมนาฬิกาที่หลากหลายมากขึ้น ปรับแต่งตามลุคของเขา และทุกเรือนที่ถูกเลือกมานั้นจะมีความแมนๆ ดิบๆ มากขึ้นกว่าในภาคก่อนๆ
คราวนี้มาดูกันดีกว่าว่า หนุ่มบอนด์คนนี้เขาสวมอะไรบ้าง
Omega Seamaster Planet Ocean 600M
แม้เราจะยังเห็น Omega Seamaster 300M หน้าปัดสีน้ำทะเลบนข้อมือของ Craig อยู่บ้าง แต่มันไม่ได้ถูกชูโรงขึ้นเป็นนาฬิกาประจำตัวของบอนด์แล้วละครับ เพราะพระเอกใหม่คนนี้มาพร้อมนาฬิกา Omega เรือนใหม่อย่าง Seamaster Planet Ocean 600M หน้าปัดรวมถึงขอบเป็นสีดำ เพิ่มความดาร์กและจริงจังมากขึ้น ใน ‘Casino Royale’ ภาคแรก นาฬิกา Seamaster Planet Ocean ที่ใช้เป็นเวอร์ชันหน้าปัด 45.5 มิลลิเมตร พร้อมสายยางสีทะมึนอย่าง Black Rubber Strap ให้ภาพลักษณ์ที่ดูลุย มีความผจญภัยขึ้นมาก ส่วนใน ‘Quantum of Solace’ (2008) ภาคต่อมา เขาเปลี่ยนมาสวมเวอร์ชันที่หน้าปัดเล็กลงเหลือ 42 มิลลิเมตร พร้อมกับเปลี่ยนเป็นสายสเตนเลส และในภาคสุดท้าย ‘Skyfall’ (2012) บอนด์ได้เปลี่ยนเป็น Seamaster Planet Ocean หน้าปัดดำแต่ขอบสี Dark Grey แทน
Seamaster Aqua Terra 150m
ใน ‘Skyfall’ เราจะเห็นเรือนเวลาอีกเรือน นั่นคือ Aqua Terra ที่ให้ความรู้สึกเป็น Dress Watch มากขึ้น ด้วยขอบหน้าปัดที่เล็กลงเหลือ 38.5 มิลลิเมตร และบางลง แต่หน้าปัดยังคงเป็นสีน้ำทะเลอยู่เช่นเดิม ถือเป็นการผสานความเป็นบุรุษแห่งมหาสมุทรเข้ากับความหรูหราของชาวเมืองได้อย่างลงตัว
Omega Seamaster 300 Spectre
นับเป็นครั้งแรกที่ Omega ผลิตรุ่นที่ถูกออกแบบมาเพื่อภาพยนตร์ 007 โดยเฉพาะ แถมเป็น Limited Edition ของ ‘Spectre’ ที่ผลิตขึ้นเพียงแค่ 7,007 เรือนเท่านั้น เอกลักษณ์อันโดดเด่นของเรือนนี้คือ ลุควินเทจ อย่างที่ทราบกันว่า 007 ในแบบฉบับ Daniel Craig นั้นเป็นเรื่องที่ย้อนอดีตตั้งแต่ต้นใหม่ ดังนั้นการที่ Omega เลือกทำเรือนเวลาในโมเดลคลาสสิกย้อนยุคก็ยิ่งช่วยเสริมกับเนื้อเรื่องที่วางไว้เป็นอย่างดี ซึ่งรูปทรงหน้าปัดของรุ่นนี้เป็นเสมือนการนำเสนอ ‘ต้นแบบ’ ของ Seamaster ที่ถูกใช้ในช่วงแรกๆ อีกทั้งยังมาพร้อมสาย Nato ชวนให้นึกไปถึงสายไนลอนสมัยบอนด์คนแรกอย่าง Sean Connery เลยทีเดียว
บทบาทเรือนเวลาในภาพยนตร์
อย่างที่เล่าไปในตอนต้นว่า นาฬิกาไม่ได้มีบทบาทเป็นเครื่องมือสายลับเสียเท่าไหร่สำหรับบอนด์อย่าง Daniel Craig หากแต่เป็นเครื่องแต่งกายเสริมบุคลิกและไลฟ์สไตล์ของบอนด์เสียมากกว่า แต่ใน ‘Spectre’ ความเป็นเครื่องมือสายลับของนาฬิกาก็กลับมาอีกครั้ง ซึ่งนาฬิกาใน Spectre นั้นถูกปรับแต่งให้สามารถจับเวลาระเบิดได้ ถือว่าได้ย้อนกลิ่นอายความเป็นสายลับรวย Gadget ของเจมส์ บอนด์ให้แฟนๆ กลับมาตื่นตาตื่นใจเหมือนเคยอีกครั้ง
Omega Seamaster Diver 300M 007 Edition
สำหรับนาฬิกาที่จะมาเสริมในภาค ‘No Time to Die’ ที่เพิ่งเลื่อนกำหนดฉายจากเดิมในเดือนเมษายนนี้ออกไป Daniel Craig เข้าไปมีส่วนร่วมตั้งแต่ขั้นตอนการพัฒนา เพื่อให้นาฬิกาเรือนสุดท้ายของบอนด์อย่างเขาออกมาสมบูรณ์แบบ และตรงกับคาแรกเตอร์ของเขาที่สุด ซึ่งได้เผยออกมาแล้วว่าเป็นรุ่น Omega Seamaster Diver 300M 007 Edition แน่นอนว่านาฬิกาเรือนนี้ยังคงความเป็นสายลุย บึกบึน บู๊แหลกของพยัคฆ์ร้าย 007 อยู่อย่างชัดเจน แต่ได้เสริมกลิ่นอายความเป็นวินเทจเข้าไป ถือเป็นอีกเรือนที่สวย โดดเด่น สั่งลาความเป็นเจมส์ บอนด์นักบู๊ของ Daniel Craig ได้อย่างสวยงาม
เป็นอย่างไรบ้างครับกับความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นของสายลับหนุ่มเจมส์ บอนด์ และเรือนเวลาประจำกายสายบู๊อย่าง Omega เรียกได้ว่าเข้ากันได้ดีแบบสุดๆ เสมือน Omega ได้ผนวกกับบอนด์กลายเป็น DNA เดียวกันไปเสียแล้ว และเราคงต้องตั้งตารอ ‘No Time To Die’ ภาคใหม่ที่จะเป็นภาคสุดท้ายของ Daniel Craig กับบทเจมส์ บอนด์ ว่าจะมีกำหนดฉายเมื่อไหร่ หลังจากวิกฤตโควิด-19 ผ่านไป
แล้วเรามาดูกันว่าเจ้าเรือนเวลา Omega Seamaster Diver 300M 007 Edition ในจอนั้นจะเท่ระเบิดซีนขนาดไหน และจะมีฟีเจอร์สายลับสุดไฮเทคอย่างไร แต่ถ้าสาวกพยัคฆ์ร้าย 007 คนไหนรอไม่ไหว ก็ไปจับจองซื้อ Omega สักเรือนพลางๆ ก่อนละกัน และอย่าลืมใส่ไปดูในโรงหนังด้วยนะครับ จะได้ทวีความอินเหมือนเวลาใส่เสื้อบอลเชียร์ทีมในดวงใจไงละครับ
Crazy Dial มีเป้าหมายที่จะเป็น Creative StoryTelling สื่อเน้นการเล่าเรื่องเชิงสร้างสรรค์ ที่สามารถสร้างสังคมการเรียนรู้ แลกเปลี่ยนเกี่ยวกับข้อมูลนาฬิกา สร้างแรงบรรดาลใจให้กับคนที่ชื่นชอบนาฬิกามือใหม่ รวมถึงนักสะสมนาฬิกามือเก่า ขอบคุณที่มาเป็นส่วนนึง และร่วมแบ่งบันประสบการณ์ไปพร้อมๆกัน กับ Crazy Dial