GREUBEL FORSEY Fundamental Invention 10TH

Watch Update

เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 20 ปี (2004-2024) Greubel Forsey ได้นำเสนอผลงาน Nano Foudroyante EWT เรือนเวลารุ่นที่ 10 จากคอลเล็กชั่น Fundamental Invention และด้วยระบบกลไกจัดการด้านพลังงานที่ได้รับการพัฒนาขึ้นในระดับนาโนจูลทำ ให้ภาพรวมขององค์ประกอบลดลงทั้งขนาดและจำนวนชิ้นส่วน ผลลัพธ์ที่ได้คือนาฬิกาตัวเรือนขนาด 37.9 มิลลิเมตร ที่ผสานรวมกลไก Nano Foudroyante แบบ perpetual (เพอร์เพ็ทช่วล) ครั้งแรกของโลก เข้ากับกลไกฟลายอิ้งทูร์บิญอง (flying tourbillon) ชุดแรกของ Greubel Forsey และระบบฟลายแบ็คแบบไขลาน โดยนำเสนอผ่านตัวเรือนที่ผลิตจากทองคำขาวและแทนทาลัม ซึ่งมีการผลิตจำกัดเพียง 11 เรือนเท่านั้น

╔═══════════╗
กดรับข่าวสารก่อนใครที่นี่
LINE : @crazydial
╚═══════════╝

สืบทอดมรดกแห่งนวัตกรรม

เรือนเวลารุ่นแรกจากคอลเล็กชั่น Fundamental Invention ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาโดย Robert Greubel และ Stephen Forsey และเปิดตัวในปี 2004 แสดงถึงความมุ่งมั่นของแบรนด์ต่อการวิจัยและการสร้างสิ่งประดิษฐ์นับเป็นเวลากว่า 20 ปีแล้วที่ความมุ่งเน้นนี้ คือหัวใจสำคัญของเรือนเวลาจาก Fundamental Invention รวมถึงนาฬิกาทุกเรือนของ Greubel Forsey และในปัจจุบันการทำงานด้านวิจัยของ Greubel Forsey ได้กลายเป็นรากฐานที่มีความสำคัญมากยิ่งขึ้น โดยมุ่งหวังที่จะทบทวนแนวทางการสร้างนาฬิกาใหม่ๆ โดยความพยายามนี้แสดงให้เห็นถึงการก้าวกระโดดทางเทคโนโลยีครั้งสำคัญ ซึ่งเทียบได้กับการเปลี่ยนผ่านจากนาฬิกาตั้งโต๊ะมาเป็นนาฬิกาข้อมือ ในอดีตนั้นเครื่องบอกเวลาเป็นสิ่งที่มีขนาดใหญ่ และจำเป็นจำต้องจัดตั้งอยู่บนพื้นที่สาธารณะ แต่เมื่อเวลาผ่านมา เรือนเวลาเหล่านี้กลายเป็นอุปกรณ์พกพา (นาฬิกาตั้งโต๊ะ นาฬิกาเดินเรือแบบโครโนมิเตอร์) จากนั้นก็เป็นนาฬิกาพกที่สามารถนำไปไหนมาไหนได้ และในที่สุดก็สามารถสวมใส่ได้บนข้อมือ ในตอนนั้นการวิวัฒนาการเดินทางมาถึงจุดสูงสุดด้วยนาโนเมคานิกส์ (nanomechanics) การปฏิวัติที่ Greubel Forsey เป็นผู้บุกเบิก และวันนี้ Greubel Forsey ได้เปิดตัว Nano Foudroyante เรือนเวลารุ่นที่ 10 จากคอลเล็กชั่น Fundamental Invention โดยถือเป็นการปฏิวัติวงการเทคโนโลยีครั้งใหญ่ที่สุด ไม่ใช่เฉพาะสำ หรับ Greubel Forsey เท่านั้น แต่ยังรวมถึงในโลกแห่งการผลิตนาฬิกาจักรกลอีกด้วย

 

NANOMECHANICS: A NEWHORIZON

Nanomechanics เป็นขอบเขตที่อยู่เหนือการย่อขนาดส่วนประกอบให้เล็กลงจนอยู่ในระดับนาโนเมตริก เมื่อพูดถึง Nanomechanics เรากำ ลังพูดถึงการควบคุมพลังงานในระดับนาโนจูลที่เกิดขึ้นในกลไกแบบจักรกลการปฏิวัติระบบจัดการพลังงานจะช่วยลดการใช้พลังงานและจำนวนส่วนประกอบในกลไกได้อย่างมาก

 

กลไกที่ปฏิวัติวงการ

เพื่อแสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ของกลไกที่มีขนาดระดับนาโน Greubel Forsey ได้คิดค้นกลไกวินาทีแบบ Foudroyante ขึ้นมาใหม่ เข็มนาฬิกาจะหมุนครบหนึ่งรอบต่อวินาทีโดยแบ่งออกเป็นส่วนต่างๆ ตามความถี่ในการทำงานของกลไก ในกลไกแบบ Nano Foudroyante นี้ ความถี่ 3 เฮิร์ตซ์ในแต่ละครั้งที่จักรกรอกสร้างขึ้นมาจะทำ ให้เกิด 2 จังหวะขึ้นมา ซึ่งเมื่อรวมกันแล้วจะได้ความถี่ 6ครั้งต่อวินาที และทำ ให้การเดินของเข็มวินาทีในแต่ละครั้งจะถูกแบ่งออกเป็น 6 ส่วนที่แตกต่างกัน ซึ่งโดยธรรมชาติแล้วการทำงานลักษณะนี้จะใช้พลังงานอย่างมาก อย่างไรก็ตาม Greubel Forsey ได้คิดออกแบบและก่อสร้างกลไกนี้ใหม่หมด พร้อมกับจัดการพลังงานในระดับนาโนจูล เมื่อเปรียบเทียบกับกลไก Foudroyante แบบดั้งเดิมที่ใช้พลังงาน 30μJ (ไมโครจูล) ต่อการเคลื่อนที่ 1 ครั้งแล้ว กลไก Nano Foudroyante จะทำ งานด้วยพลังงานเพียง 16nJ (นาโนจูล) ต่อการเคลื่อนที่ 1 ครั้ง ซึ่งช่วยลดการใช้พลังงานได้ถึง 1,800 เท่า ดังนั้น ปริมาตรของกลไกจึงลดลง 90% อย่างไรก็ตาม ความสนใจในการพัฒนาไม่ได้อยู่การวัดระดับ การเคลื่อนที่ของเข็มวินาทีเท่านั้น แต่แต่ยังเป็นการพิสูจน์ให้เห็นแนวคิดในการ ผลิตนาฬิกาแบบใหม่อย่างที่ไม่มาก่อน นั่นคือเหตุผลที่ Greubel Forsey เลือก Nano Foudroyante ให้เป็นนาฬิกาแสดงเวลาแบบ Perpetual หรือแบบถาวร

จุดสูงสุดของโลกแห่งเรือนเวลา

ไม่ได้มีเพียงแค่นี้ เพราะยังสืบสานความหลงใหลของ Greubel Forsey ที่มีต่อกลไกทูร์บิญอง ดังนั้นนาฬิกา Nano Foudroyante จึงถูกผสานเข้ากับกลไกฟลายอิ้งทูร์บิญอง หรือทูร์บิญองไร้แกน (Flying Tourbillon) ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ Greubel Forsey สร้างขึ้น และท้ายที่สุดกับอีกหนึ่งนวัตกรรมเพิ่มเติมของรูปแบบบนหน้าปัด เพราะแม้ว่ากลไก Flying Tourbillon จะหมุนตลอดเวลา แต่หน้าปัดของ Nano Foudroyante ยังคงจัดวางในรูปแบบของ 12 นาฬิกา เพื่อให้อ่านเวลาได้อย่างเหมาะสมเมื่อรวมกับระบบจับเวลาแบบ Flyback แล้วคุณสมบัติทั้ง 3 ประการนี้ทำให้ Fundamental Invention รุ่นที่ 10 ของ Greubel Forsey มีความสมบูรณ์แบบขึ้น นั่นคือ Nano Foudroyante ที่มาพร้อมกับกลไกฟลายอิ้งทูร์บิญอง และแกนอ่านแบบกำหนดทิศทางนี่เป็นเพียงแค่พื้นฐานเท่านั้น ยังไม่ใช่ผลลัพธ์สุดท้าย Fundamental Invention รุ่นที่ 10 ติดตั้งกลไกจับเวลาฟลายแบ็คแบบไขลาน ความซับซ้อนที่นำ เสนอโดย Greubel Forsey นี้รวมถึงการควบคุมคอลัมน์วีลภายใน ซึ่งอยู่บนพื้นฐานของการออกแบบซึ่งมีโครงสร้างที่แข็งแกร่งและการขัดแต่งที่เหนือชั้น ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ Greubel Forsey

ผลงานชิ้นเอกที่มีการผลิตแบบจำนวนจำกัด

นาฬิการุ่นนี้ถูกผลิตในจำนวนจำกัดเพียง 11 เรือน โดยเน้นย้ำถึงลักษณะทางเทคนิคที่แปลกใหม่ และบุคลิกของนาฬิกาที่ได้รับการออกแบบอย่างชาญฉลาดในห้องทดลอง EWT (Experimental Watch Technology)

 

ตัวเรือนไวท์โกลด์สร้างความน่าตื่นตาตื่นใจด้วยชิ้นส่วนของขอบและฝาหลังที่ผลิตจากแทนทาลัม ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของ Greubel Forsey เพราะแบรนด์ไม่เคยใช้วัสดุนี้มาก่อน แทนทาลัมเป็นวัสดุที่ขึ้นชื่อในเรื่องความแวววาวให้โทนสีเทาอมฟ้าและความซับซ้อนในการสร้างสรรค์ชิ้นงาน (โดยมีจุดหลอมเหลวสูงกว่า 3,000°C) ต้องใช้ความชำนาญพิเศษที่หายาก และทางแบรนด์ยังคงรักษาเอกลักษณ์ด้านสุนทรียศาสตร์ที่สำ คัญเอาไว้ รวมทั้งการแกะสลักนูนตัวอักษร “Nano Foudroyante” และ “Greubel Forsey” พร้อมการขัดเงาโดยอยู่บนหน้าปัดที่ผลิตจากไวท์โกลด์ผ่านการใช้สลักด้วยมือและขัดด้วยลายซาติน สถาปัตยกรรมของกลไกมีความยอดเยี่ยม โดยผลงานชิ้นเอกนี้แสดงให้เห็นถึงชิ้นส่วนกลไกที่อยู่รอบชุดเฟืองคอลัมน์วีล ซึ่งมากับรูปทรงเรขาคณิตแบบโมโนบล็อก 3 มิติที่หายาก และสามารถมองเห็นได้ผ่านทางฝาหลังนาฬิกา

นาฬิกาเรือนนี้สลักข้อความ “2004 – 2024” และ “ครบรอบ 20 ปี” เพื่อแสดงถึงเหตุการณ์สำคัญในครั้งนี้


ติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวของแวดวงนาฬิกาได้ที่นี่…

Crazy Dial – The Watch Community

Line : @crazydial

Instagram : crazydial.official

Facebook : crazydial.official

Website : www.crazy-dial.com

Youtube : Crazy Dial Official

Tiktok : crazydial