GMT Master II ถือเป็นหนึ่งในโมเดลฮอตฮิตตลอดกาลของ Rolex ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก หลากหลายรุ่นล้วนมีฉายาคุ้นหูกันเป็นอย่างดี ไม่ว่า Coke, Pepsi หรือ Root Beer ที่มีสีเป็นเอกลักษณ์ ชวนให้นึกถึงเครื่องดื่มต้นตำรับทันทีที่ได้เห็น และอีกหนึ่งรุ่นที่ใครๆ ก็รู้จักในฉายา Super Hero ตัวท็อป นั่นคือ ‘Batman’ ด้วยหน้าปัดที่ให้ความรู้สึกลึกลับ ชวนค้นหา อย่างสี ดำ-น้ำเงิน ถือว่าเป็นสี Masculine เรียบๆ ที่หนุ่มๆ ชอบ เพราะเข้าได้กับเครื่องแต่งกายทุกชุด ทำให้ ‘Batman’ ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายทั่วโลก
╔════════════════╗
กดรับข่าวสารก่อนใครที่นี่
LINE : @crazydial
https://lin.ee/wKkm5PM
╚════════════════╝
ย้อนกลับไปในปี 2013 Rolex ได้เปิดตัว GMT Master II หน้าปัด 2-tone รุ่นแรกที่ผลิตจากเซรามิก จากก่อนหน้านั้น เมื่อ Rolex หันมาใช้เซรามิกในการทำหน้าปัดแทนอลูมิเนียมแบบเก่าเนื่องจากมีความแข็งแรงและทนทานมากกว่า แต่ก็มีการประกาศว่าเขาไม่สามารถใช้เซรามิกทำหน้าปัด 2 สีได้ จนเกือบถึงกับต้องล้มเลิกแผนการที่จะผลิตหน้าปัด 2 สีออกมาขายแล้ว แต่ในที่สุดด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย Rolex ก็สามารถทำหน้าปัดเซรามิกให้เป็น 2 สีได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยเปิดตัวกับสีมาดเท่อย่างดำ-น้ำเงิน และได้รับฉายาว่า ‘Batman’ เรียกว่าประสบความสำเร็จจนเป็นที่นิยมกันทั่วโลกจนถึงปัจจุบัน กระทั่งในปี 2019 Rolex เปิดตัว ‘Batman’ โฉมใหม่ ก็เรียกเสียงฮือฮาจากสาวกได้อีกครั้ง
และวันนี้ Crazy Dial ได้รวบรวมข้อแตกต่างระหว่างทั้ง 2 รุ่นว่ามีอะไรที่เพิ่มเติมมาบ้าง แตกต่างกับรุ่นก่อนอย่างไร ติดตามหาคำตอบประกอบการตัดสินใจกันตรงนี้ได้เลยครับชาว Crazy Dial
สายนาฬิกา Jubilee
ความแตกต่างแรกที่เห็นชัดและสะดุดตาสุดๆ ก็คือ สายนาฬิกา จากเดิมในรุ่น Ref. 116710 จะเป็นสาย Oyster ดั้งเดิมที่ Rolex ใช้กับนาฬิกา Stainless Steel ทุกรุ่นมาตั้งแต่ปี 1930 โดยเป็นการต่อชิ้นส่วนข้อแบนและกว้างจำนวน 3 ชิ้นเข้าด้วยกัน แต่ใน GMT Master II Ref. 126710 ตัวใหม่ ได้ถูกปรับเปลี่ยนสายมาเป็นแบบ Jubilee แบบเดียวกับที่ใช้ใน Rolex Datejust ซึ่งเป็นโลหะข้อกลมจำนวน 5 ชิ้นส่วนต่อเรียงตัวกัน มีความยืดหยุ่นและสวมใส่สบายข้อมือ และด้วยดีเทลของชิ้นส่วนที่มากกว่านี่เอง ทำให้สาย Jubilee จึงดูโดดเด่นและสะดุดตามากกว่าแบบ Oyster ในรุ่นก่อนอย่างชัดเจน ทั้งนี้ในส่วนของตัวล็อคสาย Jubilee ใน GMT Master II รุ่นใหม่นี้ไม่ได้ใช้ Oyster Clasp แบบที่ใช้กับสาย Jubilee ในรุ่น Datejust แต่ยังคงใช้ Oysterlock แบบเดียวกับที่ใช้ในรุ่น Sport ดังเดิม ที่แน่นหนา และป้องกันการเผลอปลดล็อคเองอย่างไม่ตั้งใจ
กลไกการทำงานใหม่ Calibre 3285
ปรับเปลี่ยนหัวใจการเคลื่อนที่ด้วยการใช้กลไกไขลานอัตโนมัติแบบใหม่ล่าสุด เอกสิทธิ์เฉพาะ Rolex อย่าง Calibre3285 กลไกใหม่นี้ได้รับการพัฒนาในหลายๆ ด้านให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งระบบและโครงสร้าง ทำให้มีความเที่ยงตรง แม่นยำ ทนทานต่อแรงกระแทกมากขึ้น อีกทั้งยังสามารถสำรองพลังงานเพิ่มขึ้นเป็น 70 ชั่วโมง ซึ่งมากกว่ากลไกในรุ่นก่อนถึง 20 ชั่วโมงเลยทีเดียว
หน้าปัด กับสิ่งเล็กๆ ที่เพิ่มเข้ามา
ความจริงแล้วหน้าปัดของ Rolex GMT Master II Batman ทั้ง 2 เวอร์ชันแทบจะไม่แตกต่างกันเลย ขนาดของตัวเรือนยังคงเดิมที่ 40 มิลลิเมตร รวมถึงมีความหนาเท่าเดิม จุดเดียวที่ไม่เหมือนกันมีเพียงสัญลักษณ์รูปมงกุฎของแบรนด์ที่เพิ่มขึ้นมาระหว่างคำว่า Swiss made ที่อยู่ด้านล่างสุดขอบของหน้าปัด ซึ่งมีขนาดจิ๋วหลิวจนถ้ามองผ่านๆ คงไม่มีทางสังเกตเห็น หรือแม้จะมองเพ่งก็อาจจะไม่เห็นด้วยซ้ำไป
สรุปแล้วความต่างหลักๆ ระหว่าง GMT Master II Ref. 116710 รุ่นเก่า และ 126710 รุ่นใหม่นั้นคือ สายนาฬิกา และตัวกลไก แต่ที่คาดว่าน่าจะมีผลต่อการตัดสินใจมากกว่า คงจะเป็นในส่วนของสายนาฬิกา เนื่องจากเป็นความต่างที่ค่อนข้างชัดเจน สำหรับคนที่รักในความเรียบหรู และยังคงคลั่งไคล้ในความสปอร์ตอยู่ ก็คงจะยึดมั่นในความรักกับเจ้ารุ่นเก่าอยู่ แต่สำหรับคนที่ชอบในความมีดีเทล โก้เก๋ และมีความชอบในการแต่งตัวแล้วละก็ คงจะถูกใจกับเจ้ารุ่นใหม่ตัวนี้นะครับ
Crazy Dial มีเป้าหมายที่จะเป็น Creative StoryTelling สื่อเน้นการเล่าเรื่องเชิงสร้างสรรค์ ที่สามารถสร้างสังคมการเรียนรู้ แลกเปลี่ยนเกี่ยวกับข้อมูลนาฬิกา สร้างแรงบรรดาลใจให้กับคนที่ชื่นชอบนาฬิกามือใหม่ รวมถึงนักสะสมนาฬิกามือเก่า ขอบคุณที่มาเป็นส่วนนึง และร่วมแบ่งบันประสบการณ์ไปพร้อมๆกัน กับ Crazy Dial